ลงประกาศฟรี ลงโฆษณาฟรี โปรโมทสินค้าฟรี ซื้อ ขาย เช่า โพสลงประกาศฟรี

หมวดหมู่ทั่วไป => ลงประกาศฟรี => ข้อความที่เริ่มโดย: siritidaphon ที่ วันที่ 3 กรกฎาคม 2025, 14:08:26 น.

หัวข้อ: โปรแกรมหมอประจำบ้านอัจริยะ: อีสุกอีใส (Chickenpox / Varicella)
เริ่มหัวข้อโดย: siritidaphon ที่ วันที่ 3 กรกฎาคม 2025, 14:08:26 น.
โปรแกรมหมอประจำบ้านอัจริยะ: อีสุกอีใส (Chickenpox / Varicella) (https://doctorathome.com)

อีสุกอีใส เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจาก เชื้อไวรัสวาริเซลลา-ซอสเตอร์ (Varicella-Zoster Virus - VZV) ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคงูสวัด จัดเป็นโรคติดต่อที่พบได้บ่อยมากในเด็ก มักจะติดต่อกันได้ง่ายโดยการแพร่กระจายผ่านละอองฝอยในอากาศ (จากการไอ จาม) หรือการสัมผัสโดยตรงกับตุ่มน้ำใสของผู้ป่วย

อาการของโรคอีสุกอีใส
อาการของโรคอีสุกอีใสมีลักษณะเฉพาะที่มักจะทำให้วินิจฉัยได้ไม่ยากนัก โดยปกติแล้วจะมีระยะฟักตัวประมาณ 10-21 วัน (เฉลี่ย 14-16 วัน) หลังจากได้รับเชื้อ อาการที่พบบ่อยได้แก่:

ไข้: มักมีไข้ต่ำๆ ถึงปานกลาง บางรายอาจมีไข้สูง

อาการคล้ายไข้หวัด: เช่น อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ เจ็บคอ เบื่ออาหาร

ผื่น:

เริ่มต้นจะเป็น ผื่นแดงราบเล็กๆ (Macules) ก่อน โดยมักเริ่มจากที่ใบหน้า ลำตัว แล้วค่อยๆ ลามไปทั่วร่างกาย รวมถึงหนังศีรษะ ปาก ลำคอ และอวัยวะเพศ

ภายในไม่กี่ชั่วโมง ผื่นแดงจะกลายเป็น ตุ่มนูนแดง (Papules)

จากนั้นจะกลายเป็น ตุ่มน้ำใส (Vesicles) ที่มีลักษณะคล้ายหยดน้ำค้างบนกลีบกุหลาบ ตุ่มน้ำใสนี้จะคันมาก

ภายใน 1-2 วัน ตุ่มน้ำใสจะกลายเป็น ตุ่มหนอง (Pustules)

สุดท้ายจะแห้งตกสะเก็ด (Crusts) และค่อยๆ หลุดไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยอาจทิ้งรอยดำจางๆ ไว้ แต่โดยทั่วไปจะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นเว้นแต่มีการแกะเกาจนเป็นแผลลึกหรือมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน

ลักษณะเด่นของผื่นอีสุกอีใสคือ: ผื่นจะขึ้นพร้อมกันในหลายระยะ (pleomorphic rash) นั่นคือ ในบริเวณผิวหนังเดียวกันอาจพบผื่นทั้งแบบผื่นแดง ตุ่มนูน ตุ่มน้ำใส ตุ่มหนอง และสะเก็ดพร้อมๆ กัน ซึ่งแตกต่างจากโรคอื่นๆ ที่มักมีผื่นในระยะเดียวกัน


การติดต่อ

อีสุกอีใสติดต่อได้ง่ายมาก โดยเฉพาะในช่วง 1-2 วันก่อนผื่นขึ้น และต่อเนื่องไปจนกว่าตุ่มน้ำใสทุกตุ่มจะตกสะเก็ดหมด โดยวิธีการติดต่อหลักๆ คือ:

ทางการหายใจ: ไอ จาม หรือพูดคุยใกล้ชิด ทำให้ได้รับละอองฝอยที่มีเชื้อ

การสัมผัส: สัมผัสโดยตรงกับน้ำเหลืองในตุ่มน้ำใสของผู้ป่วย

ผู้ที่เคยเป็นอีสุกอีใสแล้วมักจะมีภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต แต่เชื้อไวรัสจะยังคงซ่อนตัวอยู่ในปมประสาท และสามารถกลับมาทำให้เกิดโรคงูสวัดได้ในภายหลังเมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง


การรักษา

การรักษาอีสุกอีใสส่วนใหญ่เป็นการรักษาตามอาการ เพื่อบรรเทาความไม่สบายและป้องกันภาวะแทรกซ้อน:

ลดไข้: ให้ยาลดไข้พาราเซตามอล (Paracetamol) ห้ามให้แอสไพริน (Aspirin) ในเด็กที่เป็นอีสุกอีใสเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง (Reye's syndrome)


บรรเทาอาการคัน:

ให้ยาแก้แพ้ (Antihistamines) ชนิดรับประทาน เพื่อลดอาการคัน

ทายาคาลาไมน์โลชั่น (Calamine Lotion) เพื่อช่วยลดอาการคันและลดการระคายเคืองผิวหนัง

ตัดเล็บให้สั้น อาบน้ำด้วยสบู่อ่อนๆ และซับตัวให้แห้ง งดการแกะเกา เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน


ยาต้านไวรัส (Antiviral Drugs):

เช่น Acyclovir จะพิจารณาใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง, ผู้ใหญ่, วัยรุ่น, หรือในกรณีที่อาการรุนแรง เพื่อลดความรุนแรงของโรคและลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน ควรเริ่มให้ยาภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังจากผื่นขึ้น

การดูแลทั่วไป:

พักผ่อนให้เพียงพอ

ดื่มน้ำให้มากๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ

รับประทานอาหารอ่อนๆ รสไม่จัด โดยเฉพาะหากมีตุ่มขึ้นในช่องปาก

หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้อื่น เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ


ภาวะแทรกซ้อน

แม้ว่าอีสุกอีใสส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กมากๆ ผู้ใหญ่ สตรีมีครรภ์ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง:

การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน: ที่ผิวหนังจากจากการแกะเกา ทำให้เกิดแผลเป็น หรือรอยดำ

ปอดอักเสบ (Pneumonia): เป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและอันตราย โดยเฉพาะในผู้ใหญ่และสตรีมีครรภ์

สมองอักเสบ (Encephalitis): เป็นภาวะที่พบน้อยแต่รุนแรง อาจทำให้เกิดความผิดปกติทางระบบประสาท

กลุ่มอาการไรย์ (Reye's Syndrome): ภาวะร้ายแรงที่เกิดกับสมองและตับ สัมพันธ์กับการใช้แอสไพรินในเด็กที่เป็นอีสุกอีใสหรือไข้หวัดใหญ่

การติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis): เป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงมาก

การติดเชื้อในสตรีมีครรภ์: หากติดเชื้อในไตรมาสแรก อาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ (Congenital Varicella Syndrome)


การป้องกัน

วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันอีสุกอีใสคือ:

การฉีดวัคซีน: วัคซีนป้องกันอีสุกอีใส (Varicella Vaccine) เป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันโรคหรือลดความรุนแรงของโรคหากติดเชื้อ

โดยทั่วไปแนะนำให้ฉีดในเด็กอายุ 1 ปีขึ้นไป จำนวน 2 เข็ม

ผู้ใหญ่ที่ไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อนก็สามารถฉีดวัคซีนได้

หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย: โดยเฉพาะหากยังไม่เคยเป็นหรือยังไม่เคยได้รับวัคซีน

สุขอนามัยที่ดี: ล้างมือบ่อยๆ

หากสงสัยว่าตนเองหรือบุตรหลานเป็นอีสุกอีใส หรือมีอาการรุนแรง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมค่ะ