โปรแกรมหมอประจำบ้านอัจริยะ: อีสุกอีใส (Chickenpox / Varicella)อีสุกอีใส เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจาก เชื้อไวรัสวาริเซลลา-ซอสเตอร์ (Varicella-Zoster Virus - VZV) ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคงูสวัด จัดเป็นโรคติดต่อที่พบได้บ่อยมากในเด็ก มักจะติดต่อกันได้ง่ายโดยการแพร่กระจายผ่านละอองฝอยในอากาศ (จากการไอ จาม) หรือการสัมผัสโดยตรงกับตุ่มน้ำใสของผู้ป่วย
อาการของโรคอีสุกอีใส
อาการของโรคอีสุกอีใสมีลักษณะเฉพาะที่มักจะทำให้วินิจฉัยได้ไม่ยากนัก โดยปกติแล้วจะมีระยะฟักตัวประมาณ 10-21 วัน (เฉลี่ย 14-16 วัน) หลังจากได้รับเชื้อ อาการที่พบบ่อยได้แก่:
ไข้: มักมีไข้ต่ำๆ ถึงปานกลาง บางรายอาจมีไข้สูง
อาการคล้ายไข้หวัด: เช่น อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ เจ็บคอ เบื่ออาหาร
ผื่น:
เริ่มต้นจะเป็น ผื่นแดงราบเล็กๆ (Macules) ก่อน โดยมักเริ่มจากที่ใบหน้า ลำตัว แล้วค่อยๆ ลามไปทั่วร่างกาย รวมถึงหนังศีรษะ ปาก ลำคอ และอวัยวะเพศ
ภายในไม่กี่ชั่วโมง ผื่นแดงจะกลายเป็น ตุ่มนูนแดง (Papules)
จากนั้นจะกลายเป็น ตุ่มน้ำใส (Vesicles) ที่มีลักษณะคล้ายหยดน้ำค้างบนกลีบกุหลาบ ตุ่มน้ำใสนี้จะคันมาก
ภายใน 1-2 วัน ตุ่มน้ำใสจะกลายเป็น ตุ่มหนอง (Pustules)
สุดท้ายจะแห้งตกสะเก็ด (Crusts) และค่อยๆ หลุดไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยอาจทิ้งรอยดำจางๆ ไว้ แต่โดยทั่วไปจะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นเว้นแต่มีการแกะเกาจนเป็นแผลลึกหรือมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
ลักษณะเด่นของผื่นอีสุกอีใสคือ: ผื่นจะขึ้นพร้อมกันในหลายระยะ (pleomorphic rash) นั่นคือ ในบริเวณผิวหนังเดียวกันอาจพบผื่นทั้งแบบผื่นแดง ตุ่มนูน ตุ่มน้ำใส ตุ่มหนอง และสะเก็ดพร้อมๆ กัน ซึ่งแตกต่างจากโรคอื่นๆ ที่มักมีผื่นในระยะเดียวกัน
การติดต่อ
อีสุกอีใสติดต่อได้ง่ายมาก โดยเฉพาะในช่วง 1-2 วันก่อนผื่นขึ้น และต่อเนื่องไปจนกว่าตุ่มน้ำใสทุกตุ่มจะตกสะเก็ดหมด โดยวิธีการติดต่อหลักๆ คือ:
ทางการหายใจ: ไอ จาม หรือพูดคุยใกล้ชิด ทำให้ได้รับละอองฝอยที่มีเชื้อ
การสัมผัส: สัมผัสโดยตรงกับน้ำเหลืองในตุ่มน้ำใสของผู้ป่วย
ผู้ที่เคยเป็นอีสุกอีใสแล้วมักจะมีภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต แต่เชื้อไวรัสจะยังคงซ่อนตัวอยู่ในปมประสาท และสามารถกลับมาทำให้เกิดโรคงูสวัดได้ในภายหลังเมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง
การรักษา
การรักษาอีสุกอีใสส่วนใหญ่เป็นการรักษาตามอาการ เพื่อบรรเทาความไม่สบายและป้องกันภาวะแทรกซ้อน:
ลดไข้: ให้ยาลดไข้พาราเซตามอล (Paracetamol) ห้ามให้แอสไพริน (Aspirin) ในเด็กที่เป็นอีสุกอีใสเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง (Reye's syndrome)
บรรเทาอาการคัน:
ให้ยาแก้แพ้ (Antihistamines) ชนิดรับประทาน เพื่อลดอาการคัน
ทายาคาลาไมน์โลชั่น (Calamine Lotion) เพื่อช่วยลดอาการคันและลดการระคายเคืองผิวหนัง
ตัดเล็บให้สั้น อาบน้ำด้วยสบู่อ่อนๆ และซับตัวให้แห้ง งดการแกะเกา เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
ยาต้านไวรัส (Antiviral Drugs):
เช่น Acyclovir จะพิจารณาใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง, ผู้ใหญ่, วัยรุ่น, หรือในกรณีที่อาการรุนแรง เพื่อลดความรุนแรงของโรคและลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน ควรเริ่มให้ยาภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังจากผื่นขึ้น
การดูแลทั่วไป:
พักผ่อนให้เพียงพอ
ดื่มน้ำให้มากๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
รับประทานอาหารอ่อนๆ รสไม่จัด โดยเฉพาะหากมีตุ่มขึ้นในช่องปาก
หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้อื่น เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
ภาวะแทรกซ้อน
แม้ว่าอีสุกอีใสส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กมากๆ ผู้ใหญ่ สตรีมีครรภ์ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง:
การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน: ที่ผิวหนังจากจากการแกะเกา ทำให้เกิดแผลเป็น หรือรอยดำ
ปอดอักเสบ (Pneumonia): เป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและอันตราย โดยเฉพาะในผู้ใหญ่และสตรีมีครรภ์
สมองอักเสบ (Encephalitis): เป็นภาวะที่พบน้อยแต่รุนแรง อาจทำให้เกิดความผิดปกติทางระบบประสาท
กลุ่มอาการไรย์ (Reye's Syndrome): ภาวะร้ายแรงที่เกิดกับสมองและตับ สัมพันธ์กับการใช้แอสไพรินในเด็กที่เป็นอีสุกอีใสหรือไข้หวัดใหญ่
การติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis): เป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงมาก
การติดเชื้อในสตรีมีครรภ์: หากติดเชื้อในไตรมาสแรก อาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ (Congenital Varicella Syndrome)
การป้องกัน
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันอีสุกอีใสคือ:
การฉีดวัคซีน: วัคซีนป้องกันอีสุกอีใส (Varicella Vaccine) เป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันโรคหรือลดความรุนแรงของโรคหากติดเชื้อ
โดยทั่วไปแนะนำให้ฉีดในเด็กอายุ 1 ปีขึ้นไป จำนวน 2 เข็ม
ผู้ใหญ่ที่ไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อนก็สามารถฉีดวัคซีนได้
หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย: โดยเฉพาะหากยังไม่เคยเป็นหรือยังไม่เคยได้รับวัคซีน
สุขอนามัยที่ดี: ล้างมือบ่อยๆ
หากสงสัยว่าตนเองหรือบุตรหลานเป็นอีสุกอีใส หรือมีอาการรุนแรง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมค่ะ