ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: มะเร็งช่องปาก (Oral Cancer) มะเร็งช่องปาก (Oral Cancer) เป็นมะเร็งที่พบบ่อยเป็นอันดับ 6 ของโลก และเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่สำคัญในประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลกครับ เกิดจากการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติและควบคุมไม่ได้ในเนื้อเยื่อต่างๆ ภายในช่องปาก ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา มะเร็งจะลุกลามและทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง และสามารถแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้
บริเวณที่พบมะเร็งช่องปากบ่อย
มะเร็งช่องปากสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายตำแหน่งภายในช่องปากและลำคอส่วนต้น:
ลิ้น: โดยเฉพาะขอบลิ้นด้านข้างและใต้ลิ้น
พื้นปาก: ใต้ลิ้น
ริมฝีปาก: โดยเฉพาะริมฝีปากล่าง
เหงือก: ทั้งเหงือกบนและเหงือกล่าง
กระพุ้งแก้ม
เพดานปาก
ทอนซิลและลำคอส่วนต้น (oropharynx)
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
สาเหตุหลักของมะเร็งช่องปากส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน:
การสูบบุหรี่และใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกชนิด: รวมถึงซิการ์ ซิการ์ไลต์ บุหรี่ไฟฟ้า และการเคี้ยวยาสูบ เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด ยิ่งสูบมากและนานเท่าไร ความเสี่ยงยิ่งสูงขึ้น
การดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเป็นประจำจะเพิ่มความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับการสูบบุหรี่ จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงสูงขึ้นหลายเท่า
การเคี้ยวหมาก/พลู/ยาเส้น: พฤติกรรมนี้พบมากในบางภูมิภาคของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งช่องปากในกลุ่มประชากรนี้
การติดเชื้อไวรัส Human Papillomavirus (HPV): โดยเฉพาะ HPV ชนิดที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง (เช่น HPV-16) พบว่ามีบทบาทสำคัญในการเกิดมะเร็งช่องปากและคอหอยส่วนต้น โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่สูบบุหรี่และไม่ดื่มแอลกอฮอล์
การสัมผัสแสงแดดเป็นเวลานาน: โดยเฉพาะมะเร็งริมฝีปากล่าง มักพบในผู้ที่ทำงานกลางแจ้งเป็นประจำ
ภาวะภูมิต้านทานต่ำ: ผู้ป่วยที่ปลูกถ่ายอวัยวะและได้รับยากดภูมิคุ้มกัน หรือผู้ป่วยติดเชื้อ HIV
ประวัติครอบครัว: อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หากมีคนในครอบครัวเป็นมะเร็งช่องปาก
การระคายเคืองเรื้อรัง: เช่น ฟันคม เหงือกอักเสบเรื้อรัง หรือเครื่องมือทันตกรรมที่ไม่พอดี อาจเป็นปัจจัยเสริม แต่ไม่ได้เป็นสาเหตุหลักโดยตรง
อาการของมะเร็งช่องปากที่ควรสังเกต
สัญญาณเตือนที่สำคัญของมะเร็งช่องปาก ได้แก่:
แผลในปากเรื้อรัง: แผลร้อนใน หรือแผลถอนฟันที่ ไม่หายภายใน 2 สัปดาห์ แม้จะใช้ยาหรือดูแลแล้วก็ตาม เป็นอาการที่สำคัญที่สุดที่ควรสังเกต
ก้อนเนื้อ หรือตุ่มนูนในช่องปาก: โดยเฉพาะก้อนที่ไม่เจ็บปวด หรือก้อนที่โตขึ้นเรื่อยๆ
ฝ้าขาว (Leukoplakia) หรือฝ้าแดง (Erythroplakia) ในช่องปาก:
ฝ้าขาว: เป็นรอยโรคสีขาวคล้ายปื้นนมที่ไม่สามารถขูดออกได้ อาจเป็นรอยโรคมะเร็งระยะก่อนลุกลาม
ฝ้าแดง: เป็นรอยโรคสีแดงสด หรือแดงปนขาว มักเรียบหรือมีลักษณะคล้ายกำมะหยี่ เป็นรอยโรคที่มีโอกาสกลายเป็นมะเร็งสูงกว่าฝ้าขาวมาก
อาการชา หรือปวด: บริเวณใบหน้า คอ หรือในช่องปากที่ไม่ทราบสาเหตุ
ฟันโยกผิดปกติ หรือเจ็บรอบฟันโดยไม่ทราบสาเหตุ
กลืนลำบาก หรือเจ็บคอเรื้อรัง
เสียงแหบ หรือพูดลำบาก
น้ำหนักลดผิดปกติ
คลำพบก้อนที่คอ (ต่อมน้ำเหลืองโต): โดยเฉพาะก้อนที่ไม่เจ็บปวดและโตขึ้น
หากพบอาการเหล่านี้ โดยเฉพาะแผลเรื้อรัง หรือฝ้าขาว/แดง ควรรีบไปพบทันตแพทย์หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่นๆ
การวินิจฉัยและการรักษา
การวินิจฉัย: แพทย์จะทำการตรวจช่องปากอย่างละเอียด หากสงสัยจะมีการตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy) ไปตรวจทางพยาธิวิทยา ซึ่งเป็นการวินิจฉัยที่แม่นยำที่สุด นอกจากนี้ อาจมีการตรวจภาพถ่ายทางรังสี (CT Scan, MRI, PET Scan) เพื่อดูการแพร่กระจายของมะเร็ง
การรักษา: ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง ระยะของโรค และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย วิธีการรักษาหลักๆ ได้แก่:
การผ่าตัด: เป็นวิธีหลักในการรักษามะเร็งช่องปาก เพื่อตัดก้อนเนื้อร้ายและเนื้อเยื่อโดยรอบออก
รังสีรักษา (Radiotherapy): การฉายรังสีเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง อาจใช้เดี่ยวๆ หรือใช้ร่วมกับการผ่าตัด
เคมีบำบัด (Chemotherapy): การใช้ยาเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง มักใช้ในกรณีที่มะเร็งลุกลาม หรือแพร่กระจายไปแล้ว
การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy) / ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy): เป็นการรักษาแบบใหม่ที่อาจใช้ในผู้ป่วยบางราย
การป้องกัน
การป้องกันมะเร็งช่องปากทำได้โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงหลักๆ:
งดสูบบุหรี่และผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกชนิดอย่างเด็ดขาด
งดดื่มแอลกอฮอล์ หรือลดปริมาณการดื่มลง
ไม่เคี้ยวหมาก/พลู/ยาเส้น
ฉีดวัคซีน HPV (สำหรับผู้ที่อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถฉีดได้)
ป้องกันแสงแดด: ใช้ลิปบาล์มที่มี SPF เมื่อต้องออกแดดจัดเป็นเวลานาน
ตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ: อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยทันตแพทย์จะสามารถตรวจคัดกรองรอยโรคที่ผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
มะเร็งช่องปากสามารถรักษาให้หายขาดได้ หากตรวจพบและรักษาตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม ดังนั้น การสังเกตอาการผิดปกติในช่องปากของตนเองอย่างสม่ำเสมอ และการไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันและลดความรุนแรงของโรคครับ